เปลี่ยนงานซ่อมให้เป็นระบบ บริหารงานให้แม่นยำ และสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ด้วยเทคนิคที่อู่ชั้นนำเลือกใช้
1. ดูคิวงานจาก Control Board
รู้สถานะงานทุกคันภายในอู่แบบเรียลไทม์
การใช้แผงควบคุม (Control Board) จะช่วยให้อู่สามารถติดตามงานซ่อมแต่ละคันได้อย่างเป็นระบบ ช่วยให้คุณรู้ว่างานใดอยู่ขั้นตอนไหน ใครเป็นคนรับผิดชอบ และมีคิวงานรออยู่มากน้อยเพียงใด สามารถวางแผนการทำงานให้กับช่างแต่ละคนได้ล่วงหน้า ลดความวุ่นวาย ลดงานล่าช้า และทำให้อู่สามารถรับงานได้มากขึ้นโดยไม่กระทบคุณภาพ
2. Job Card ดูอะไรได้บ้าง
ใบงานที่รวมทุกข้อมูลที่คุณควรรู้ไว้ในที่เดียว
Job Card คือหัวใจของการจัดการงานซ่อม เพราะภายในเอกสารนี้จะรวมข้อมูลสำคัญทั้งหมด ตั้งแต่ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลรถ รายการงานซ่อมที่ต้องทำ ค่าใช้จ่าย อะไหล่ที่ใช้ ไปจนถึงภาพประกอบและความคืบหน้าของงาน ทำให้ช่าง แอดมิน และเจ้าของอู่สามารถติดตามงานได้แบบไม่หลุดรายละเอียด ช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มความโปร่งใส และเก็บเป็นประวัติงานซ่อมได้อีกด้วย
3. จัดการรูปถ่ายงานซ่อม
สร้างความมั่นใจด้วยภาพถ่ายจริงจากหน้างาน
การถ่ายภาพงานซ่อมก่อนเริ่มงาน ระหว่างซ่อม และหลังเสร็จงาน ถือเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความโปร่งใสให้กับลูกค้า และยังช่วยให้ทีมงานมีหลักฐานอ้างอิงหากเกิดปัญหาภายหลัง การมีระบบที่สามารถแนบรูปถ่ายเข้าในใบ Job Card ได้ทันที จะช่วยให้การสื่อสารระหว่างทีมและกับลูกค้าง่ายและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เหมาะทั้งการอัปเดตสถานะและเก็บเป็นบันทึกย้อนหลัง
4. สื่อสารด้วย Job Chat
ไม่ต้องตะโกนหากันในอู่ ใช้ Job Chat ก็พอ
ในอู่ที่มีหลายแผนกและหลายคนทำงานร่วมกัน การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ หากขาดความชัดเจนอาจเกิดความผิดพลาดหรืองานล่าช้า Job Chat คือฟีเจอร์ที่ให้ทีมงานสามารถพูดคุยกันภายในงานเดียวกันได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นแอดมิน ช่าง หรือฝ่ายอะไหล่ ทุกข้อความจะถูกเก็บไว้เป็นประวัติ ช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน ทำงานได้ต่อเนื่อง และลดความวุ่นวายในการสื่อสาร
5. บริหารงานอะไหล่
จัดการอะไหล่อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เสียเวลา ไม่เสียของ
ระบบบริหารอะไหล่ที่ดีช่วยให้อู่สามารถควบคุมสต๊อกได้อย่างแม่นยำ รู้ว่าอะไหล่ชิ้นไหนมีอยู่เท่าไหร่ ใช้ไปกับงานไหนบ้าง และควรสั่งเพิ่มเมื่อไร การรู้ข้อมูลเหล่านี้ช่วยลดปัญหาอะไหล่ขาด หาของไม่เจอ หรือสต๊อกบวมที่ทำให้ต้นทุนจมโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังช่วยในการวางแผนสั่งซื้อ และเก็บประวัติการใช้อะไหล่ได้อย่างมืออาชีพ
6. เบิกจ่ายวัสดุสิ้นเปลือง
ควบคุมต้นทุนที่มองไม่เห็น ด้วยระบบที่แม่นยำ
วัสดุสิ้นเปลืองอย่างน้ำยา ผ้า เทป กระดาษทราย ฯลฯ แม้จะมีราคาต่อชิ้นไม่สูง แต่เมื่อใช้งานจำนวนมากโดยไม่มีระบบควบคุม ก็อาจเป็นต้นทุนที่บานปลายได้ง่าย การมีระบบบันทึกและควบคุมการเบิกจ่ายวัสดุสิ้นเปลืองแบบแยกตามงาน จะช่วยให้อู่รู้ว่าของแต่ละชิ้นถูกใช้ไปกับงานไหนบ้าง ช่วยให้คุมต้นทุนได้ชัดเจน ลดของหาย และทำบัญชีต้นทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น
7. ใบงานซ่อมที่อ่านง่าย
เปลี่ยนใบงานให้เป็นเครื่องมือสร้างความไว้วางใจ
ลูกค้าส่วนใหญ่อาจไม่ได้เข้าใจศัพท์เทคนิคในการซ่อมรถมากนัก การออกใบงานซ่อมที่อ่านง่าย ชัดเจน และมีโครงสร้างข้อมูลที่ดี จะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสิ่งที่คุณทำ ช่วยลดข้อสงสัย และสร้างความมั่นใจในบริการของอู่ นอกจากนี้ ใบงานที่สวยงามและเป็นระเบียบ ยังสะท้อนความเป็นมืออาชีพของอู่ และทำให้ลูกค้าประทับใจมากขึ้น
8. วางแผนงานซ่อม
รับงานได้มากขึ้น โดยไม่ลดคุณภาพการให้บริการ
การวางแผนงานซ่อมล่วงหน้าช่วยให้อู่สามารถจัดสรรทรัพยากรทั้งคนและเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความแออัดของรถภายในอู่ ทำให้งานไม่ล่าช้า และลูกค้าได้รับรถคืนตามเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ยังช่วยให้ทีมช่างไม่ต้องเร่งงานจนเสียคุณภาพ และสามารถแจ้งลูกค้าเรื่องคิวงานล่วงหน้าได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
9. ดูรายงานกับ GaragePro
มีข้อมูลครบตัดสินใจง่าย รู้สถานะธุรกิจชัดเจน
รายงานคืออีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารอู่ ไม่ว่าจะเป็นรายงานรายได้ต่อวัน-สัปดาห์-เดือน, รายการงานที่เสร็จ, ค่าใช้จ่าย, ยอดสต๊อกคงเหลือ หรือแม้กระทั่งเวลาที่ใช้ต่อหนึ่งงาน GaragePro ช่วยรวบรวมและสรุปข้อมูลเหล่านี้ให้อัตโนมัติ ทำให้คุณรู้ว่าตอนนี้อู่ของคุณอยู่ในสถานะไหน จุดไหนควรปรับปรุง และจะขยายต่อไปในทิศทางไหนได้บ้าง


